ปีใหม่ ต้อนรับ หรือท้าทาย

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

ชาติไทยจะก้าวหน้า ต้องมีปัญญาเข้มแข็ง

เมื่อเรามีความเป็นอิสระอย่างนี้ โปร่งโล่งพร้อมดีแล้ว ท่านก็บอกว่าให้มีพลังอื่นอีก คนที่ทำงานทั่วๆ ไป ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคม ในโลก ยิ่งมีความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานกิจการยิ่งขึ้นไป จะยิ่งต้องการพลังเพิ่มมากขึ้นๆ

ทีนี้ถ้าไม่มีหลัก ก็ไม่รู้จะเติมพลังอย่างไร ทำไปๆ บางทีพลังถอยลงไปทุกที ก็อ่อนแอลง จึงต้องเติมพลัง ถ้าเรามีพลังตามที่ท่านสอนไว้ ก็เติมได้เสมอ เพราะมีพลังยืนพื้นที่เจริญเติบโตไปกับการดำเนินชีวิตและการทำกิจการงาน

พลังอีก ๔ อย่าง ซึ่งเป็นทุนสำคัญที่จะต้องมีไว้ประจำตัว ได้แก่

๑. ปัญญาพลัง คือกำลังปัญญา นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก คนเราถ้าไม่มีกำลังปัญญาก็ลำบาก แม้แต่ประเทศชาติไหน ถ้าขาดพลังปัญญา ไม่มีความเข้มแข็งทางปัญญา ก็ล้าหลัง ต้องตามเขาเรื่อยไป เพราะพลเมืองขาดคุณภาพ ไม่รู้เรื่องอะไรต่างๆ ไม่รู้ทันความเป็นไปในโลก วิทยาการล้าหล้า คิดก็ไม่ทันเขา จะคิดจะทำอะไรก็ไม่สำเร็จทั้งนั้น คนมีปัญญาจึงจะหาทางจัดดำเนินการต่างๆ ให้ลุล่วงไปได้

ปัญญาคู่กับปัญหา ถ้าปัญหามา ไม่มีปัญญา ก็แก้ไม่ได้ แต่ถ้ามีปัญญาแล้ว ปัญหามาเท่าไรก็ไม่กลัว แก้ได้หมด ฉะนั้นคนที่จะแก้ไขปัญหาจึงต้องพัฒนาปัญญาของตัวตลอดเวลา เราจะมีปัญญาพลัง เราก็ต้องแสวงหาความรู้ ต้องค้นคว้าเพิ่มพูนปัญญาอยู่เสมอ ถ้ามองในแง่สังคมประเทศชาติ เราก็ต้องให้เด็กมีการศึกษาอย่างดี ต้องช่วยเด็กให้เพิ่มปัญญา ต้องพัฒนาปัญญาของเด็ก โดยเฉพาะการหาความรู้ จะได้ให้ความรู้มาเป็นฐานของความคิด และให้ความรู้มาคู่กับการแสดงความเห็น

เดี๋ยวนี้ชอบพูดกันนักให้เด็กกล้าแสดงความเห็น ที่จริงต้องย้ำก่อนว่าเธอจะมากล้าแสดงความเห็น ต้องหาความรู้ให้ดีนะ ถ้าแสดงความเห็นโดยไม่มีความรู้ ก็กลายเป็นการแสดงความเห็นที่เลื่อนลอย ไม่มีประโยชน์ บางทีกลายเป็นเหลวไหลไร้สาระไป

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ควรย้ำมากกว่าการแสดงความเห็น คือการหาความรู้ เพราะสังคมไทยเรานี้ขาดมาก เราพูดกันมานานแล้วว่าคนไทยขาดตั้งแต่ความใฝ่รู้เลย

ความใฝ่รู้เป็นจุดเริ่ม เมื่อไม่มีความใฝ่รู้ ก็ไม่หาความรู้ กระบวนการหาความรู้ก็เลยขาดไปในสังคมไทย เราจะเห็นว่าการอ่าน การเรียน การค้นคว้า ไม่ค่อยเอา ห้องสมุดค่อนข้างโหรงเหรง แม้แต่มีเด็กเข้าไปใช้ก็มักจะไปใช้ในแง่ของการอ่านเรื่องบันเทิงซะ ได้ข่าวว่าอย่างนั้น แทนที่จะไปค้นคว้าตำรับตำรา

เพราะฉะนั้นจะต้องสร้างสรรค์สังคมไทยด้วยการพัฒนาปัญญา และการศึกษาจะต้องเน้นเรื่องการหาความรู้ ให้มีความใฝ่รู้ แล้วก็มีวิธีการหาความรู้ แล้วก็เป็นคนที่เอาจริงเอาจังในการค้นคว้าหาความรู้นั้น

ต่อจากนั้น เมื่อฝึกการหาความรู้แล้ว ก็ฝึกการรู้จักคิด คนที่มีแต่ความรู้แล้วคิดไม่เป็น ก็เอาความรู้มาใช้ประโยชน์ไม่ได้ แต่ถ้ารู้จักคิดก็เอาความรู้ที่มีนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้

นอกจากใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์แล้ว คนที่มีความคิด ก็จะคิดหาทางที่จะได้ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก เพราะความคิดนี้เป็นตัวที่จะช่วยให้เรารู้จักไปหาความรู้เพิ่มเติม ทำให้ได้กระบวนการของการพัฒนาปัญญา ๒ ขั้นคือ ๑. การหาความรู้ ๒. การพัฒนาความคิด หรือรู้จักคิด

ถ้าได้ ๒ ขั้นนี้ พอมีความรู้ดี และคิดเป็นแล้ว การแสดงความเห็นก็จะมีความหมาย มีประโยชน์ มีสาระขึ้นมา

เพราะฉะนั้น ก่อนจะมาถึงการแสดงความเห็น ต้องเน้นการหาความรู้ และการรู้จักคิดหรือคิดเป็น

การคิดเป็น จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างความรู้กับความเห็น พอคิดเป็นก็ใช้ความรู้ได้ แล้วความรู้นั้นก็จะมีความหมายงอกเงยขึ้นมา เมื่อมาแสดงความเห็นก็จะเป็นทางให้เราได้ความรู้ความเข้าใจ เห็นแง่มุมเพิ่มขึ้น แล้วก็เห็นจุดเห็นช่องที่จะไปหาความรู้เพิ่มเติมอีก มันก็จะเป็นกระบวนการพัฒนาปัญญาที่หมุนต่อกันไป ๓ อย่างไม่รู้จักจบ คือ หาความรู้ คิดเป็น แสดงความเห็นได้แยบคาย

เสร็จแล้วก็ไปหาความรู้เพิ่ม แล้วก็คิด มันก็หมุนกันไปเรื่อยๆ แม้แต่การแสดงความเห็นก็ไปหนุน ไปกระตุ้นความคิดด้วย ฉะนั้น การพัฒนาปัญญาจะต้องให้ครบกระบวนการอย่างน้อย ๓ ขั้นตอนที่ว่านี้

นอกจากนั้นในการหาความรู้ก็ต้องเน้นด้วยว่าต้องมีการปฏิบัติ มีการทดลอง คือมีการกระทำด้วยนั่นเอง นี่เป็นเรื่องของพลังปัญญา ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ พูดเท่าไรไม่รู้จบ

ก็เอาละ เรื่องที่หนึ่ง จะต้องเน้นปัญญา ซึ่งเป็นพลังใหญ่ ถ้าไม่มีปัญญา แม้แต่ประเทศชาติสังคม ไม่มีความเข้มแข็งทางปัญญา ประเทศชาติก็ไปไม่ไหว จะต้องเป็นผู้ตาม และมีแต่ความอ่อนแอเรื่อยไป

เนื้อหาในเว็บไซต์นอกเหนือจากไฟล์หนังสือและไฟล์เสียงธรรมบรรยาย เป็นข้อมูลที่รวบรวมขึ้นใหม่เพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ โดยมิได้ผ่านการตรวจทานจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ผู้ใช้พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือหรือเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง