สิ่งที่จะสำรวจยังไม่หมด ขอผ่านอย่างรวบรัดที่สุด ลึกเข้ามาถึงแกนกลางของชีวิต ก็คือการได้ของจิตใจ การได้ทางจิตใจเป็นเรื่องสำคัญมาก บางคนนึกถึงแต่ข้างนอกว่า วันนี้เราได้แล้ว ได้โน่นได้นี่ ได้งานได้การ ได้วัตถุสิ่งของ ได้จากคนโน้นคนนี้ แต่ขาดส่วนสำคัญไปทั้งแถบทั้งด้าน ขาดอะไร
ชีวิตของเรานี้ประกอบด้วยกายกับใจ ใจของเราเป็นแกนของชีวิต ใจของเรานั้นได้อะไรบ้างไหม สิ่งสำคัญที่เราต้องการ อาจจะเป็นยอดปรารถนาของการดำเนินชีวิต ก็คือความสุข ความสุขที่แท้จริงจะต้องถึงจิตถึงใจ มิฉะนั้นจะเป็นความสุขที่ผิวเผินจอมปลอม ไม่ยั่งยืนไม่ถาวร และไม่สุขแท้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องสำรวจดูว่าเราได้ความสุขในจิตใจด้วยหรือเปล่า
ที่ว่าเวลาแต่ละวันอย่าให้ผ่านไปเปล่า ไม่มากก็น้อยต้องให้ได้อะไรบ้างนั้น ใจของเรานี้ได้ความสุขบ้างไหม ความสุขแสดงออกมาในลักษณะอาการของจิตใจ ทำให้มีความร่าเริง เบิกบาน ผ่องใส ยิ้มได้ เป็นต้น ในวันหนึ่งๆ นี้มีบ้างไหมที่จิตใจของเรามีความชุ่มชื่นฉ่ำเย็น เป็นใจที่สบาย ร่าเริง ผ่องใส ปลอดโปร่ง หรือมีแต่ความเร่าร้อน กลุ้มกังวลใจ ถ้าหากว่าเวลาแต่ละวันผ่านไปมีแต่ความกลัดกลุ้ม เดือดร้อน กังวลใจ ก็แสดงว่าเราเสียแล้ว ไม่ใช่ได้ เพราะใจเราเสื่อม เราจะต้องแก้ไขปรับปรุงจิตใจเสียใหม่ ที่ว่าแต่ละวันต้องให้ได้อะไรบ้างไม่มากก็น้อยนั้น จะต้องได้ความสุขใจ ความร่าเริง เบิกบาน ผ่องใส ให้แก่ชีวิตนี้บ้าง
ทางพระพุทธศาสนาถือว่า ความร่าเริง เบิกบาน ผ่องใส เป็นลักษณะของจิตใจที่เจริญงอกงาม การทำจิตใจได้อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงทำใจให้เบิกบานผ่องใสได้ก็เป็นการปฏิบัติธรรม ทางพระท่านใช้คำว่า
๑. มีปราโมทย์ ร่าเริงเบิกบานใจ
๒. มีปีติ อิ่มใจปลื้มใจ
๓. มีปัสสัทธิ ผ่อนคลายกายใจ
บางคนมีแต่ความเครียดทั้งวัน ความเครียดเป็นความเสียสุขภาพจิต เป็นทางเสื่อมของจิตใจ สิ่งที่ตรงกันข้ามคือ ปัสสัทธิ ความผ่อนคลายกายใจ
๔. มีความสุข สะดวกใจ คล่องใจ ไม่มีอะไรมาบีบคั้นจิตใจ แล้วก็
๕. มีสมาธิ มีใจตั้งมั่น สงบ แน่วแน่ อยู่กับสิ่งที่ดีงามเป็นประโยชน์ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับงาน ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย
เอาละ ขอให้ได้อย่างน้อยสักอย่างหนึ่งนี้ คือใจมีปราโมทย์ ปีติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ มีความร่าเริง เบิกบาน ผ่องใส ในจิตใจ มีความปลื้มใจ มีความอิ่มใจ มีความผ่อนคลายกายใจ ปลอดโปร่งโล่งใจ ขอให้มีอย่างนี้ ซึ่งแสดงออกมาในอาการที่ยิ้มแย้มแจ่มใสได้ และให้พัฒนายิ่งๆ ขึ้นไป เริ่มแต่ให้มีเมตตาจิต ระลึกถึงผู้อื่นด้วยความปรารถนาดีคิดที่จะทำประโยชน์ช่วยให้คนทั้งหลายมีความสุข
เรามาสำรวจดูว่า ใจของเรานี้มีคุณภาพดีขึ้นไหม สมรรถภาพจิตใจของเราดีขึ้นไหม และสุขภาพจิตเช่นความสุขเบิกบานผ่องใสอย่างที่ว่ามาแล้วเรามีบ้างหรือเปล่า อย่างน้อยให้ได้ยิ้มบ้าง
ถ้ายิ้มไม่ได้เลยตลอดวัน ก่อนนอนต้องหาทางยิ้มให้ได้สักครั้งหนึ่ง ออกไปยิ้มกับแม่บ้านหรือออกไปยิ้มกับพ่อบ้าน ออกไปยิ้มกับลูกหรือกับใครสักคนหนึ่ง คิดว่าวันนี้ก่อนวันจะหมดไปเราจะนอนหลับแล้ว ขอให้เราได้ทางใจบ้าง ให้ยิ้มออกสักครั้งก็ยังดี ถ้าทำได้อย่างนี้ แม้ไม่ได้อะไรอื่น ท่านก็ถึอว่าได้แล้ว นี่แหละเป็นความหมายของคำสอนที่ว่า ไม่มากก็น้อย ต้องให้ได้อะไรบ้าง